ช่วงวัยมัธยมฯ เป็นช่วงที่เหล่าบรรดาน้อง ๆ จะเริ่มดูแลตัวเองด้วยการหาสกินแคร์ต่าง ๆ มาบำรุงผิวกันบ้างแล้ว เพราะเริ่มรักสวยรักงามมากขึ้น ประกอบกับสภาพผิวที่เข้าสู่วัยเริ่มเปลี่ยนแปลง จากวัยเด็กเข้าสู่วัยสาว บางคนอาจเจอปัญหาสิวบุก ในขณะที่หลายคนเจออาการผิวแห้งเล่นงาน อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่มีประสบการณ์ในการเลือกซื้อน้อย บวกกับงบช้อปปิ้งที่มีจำกัด ทำให้บางคนพลาดไปซื้อสกินแคร์ที่ไม่มีคุณภาพหรือไม่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเองมาใช้ วันนี้ทีมงานของเราเลยถือโอกาสมาแนะนำหนึ่งในตัวช่วยที่จะบำรุงผิวให้กับน้อง ๆ ซึ่งก็คือ ‘น้ำตบ’ นั่นเอง
และเราก็ไม่ได้มาเล่น ๆ นะคะ แต่เราจัดเต็มให้ทั้ง “วิธีการเลือกซื้อ” และ “10 อันดับ น้ำตบที่ยอดฮิตขายดี” ที่เหมาะกับวัยของน้อง ๆ มาให้อ่านกันด้วย เกริ่นมาแค่นี้ก็น่าสนใจแล้วใช่ไหมคะ งั้นเรารีบไปดูกันเลยดีกว่า!
ก่อนอื่นเลย เรามาเริ่มกันที่วิธีการเลือกซื้อน้ำตบที่เหมาะสมกับน้อง ๆ กันดีกว่าค่ะ มาดูกันว่ามีหลักการอะไรบ้างที่เราต้องคำนึง เพื่อให้ได้ตัวที่ตอบโจทย์กับสภาพผิวของเรามากที่สุด
บอกเลยว่าสภาพผิวของวัยรุ่นเป็นอะไรที่น่าอิจฉามาก ๆ เพราะสุขภาพผิวยังแข็งแรงอยู่ บำรุงแค่นิด ๆ หน่อย ๆ ก็พอแล้ว ต่างจากวัยผู้ใหญ่ที่เจอปัญหาผิวรุมเร้ามากมาย ฉะนั้น อะไรบ้างล่ะที่น้อง ๆ จะต้องคำนึงถึง?
แน่นอนว่า ด้วยวัยเพียงเท่านี้คงยังไม่สามารถหารายได้ด้วยตัวเองกัน เงินช้อปปิ้งส่วนใหญ่เลยมาจากเงินค่าขนมที่เก็บสะสมกันมา เพราะฉะนั้น เวลาเลือกซื้อน้ำตบหรือแม้แต่สกินแคร์ประเภทอื่น ๆ แนะนำว่าไม่ควรเกินงบประมาณ 500 บาทค่ะ และอย่าลืมเทียบราคากับปริมาณด้วย เพราะต่อให้ราคาถูก แต่มีปริมาณน้อย สุดท้ายก็ใช้ได้ไม่นาน ไม่คุ้มค่าอยู่ดี
หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่า “ของถูกจะดีหรอ” ก่อนอื่นต้องบอกว่า ด้วยอายุเท่านี้ สภาพผิวของน้อง ๆ ยังคงแข็งแรงอยู่ ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำตบที่มีส่วนผสมเกรดพรีเมียม หรือมีสารบำรุงมากมายที่จะทำให้ราคาสูงโดยไม่จำเป็น แค่เกรดทั่วไปก็เพียงพอแล้วค่ะ
หนึ่งในความต้องการของวัยรุ่นไทย ส่วนใหญ่ก็อยากมีผิวขาวกันใช่ไหมล่ะคะ แต่สภาพผิวของเราตอนนี้ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอด เพราะร่างกายยังเติบโตไม่เต็มที่ และด้วยกิจกรรมของน้อง ๆ ในวัยนี้คงยังต้องพบเจอกับแดดอยู่เป็นประจำ นอกจากนี้ ด้วยความที่ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย รวมไปถึงการฟื้นฟูผิวยังดีอยู่ เวลาเกิดจุดด่างดำ รอยสิว หรือหน้าหมองคล้ำ ร่างกายจะฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้เร็วกว่าผู้ใหญ่อีกด้วย จึงไม่จำเป็นที่จะต้องบำรุงด้วยน้ำตบที่มีคุณสมบัติเป็น Whitening
นอกจากนี้ เมื่อฮอร์โมนเกิดแปรปรวนขึ้นมาตามช่วงวัย การใช้น้ำตบ Whitening อาจจะยิ่งกระตุ้นให้เกิดสิวขึ้นได้ค่ะ ทางที่ดี แนะนำให้หลีกเลี่ยงจะดีกว่า
สำหรับน้อง ๆ คนไหนที่มีผิวค่อนข้างบอบบางอยู่แล้ว เช่น แพ้ง่าย เป็นสิวง่าย แนะนำให้หลีกเลี่ยงสูตรที่มีแอลกอฮอล์นะคะ เพราะจะยิ่งทำให้หน้าระคายเคืองและเกิดอาการแพ้มากขึ้นได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ต้องอธิบายก่อนว่าแอลกอฮอล์ (ชนิด Ethanol) ที่มักใส่มาในสกินแคร์นั้น มีคุณสมบัติทำให้เนื้อซึมไว หลังทาแล้วเบาสบายผิว แต่ข้อเสียคือ อาจทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่คนผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่ายต้องการค่ะ ในทางกลับกัน สิ่งที่สภาพผิวทั้ง 2 แบบต้องการ คือ “ความชุ่มชื้น” ขอแนะนำให้ซื้อสูตรที่มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์และปราศจากแอลกอฮอล์จะเหมาะสมที่สุดค่ะ
และสำหรับใครที่ผิวแพ้ง่าย นอกจากจะเลือกซื้อสูตรที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์แล้ว อย่าลืมเลือกซื้อสูตรที่ไม่มีน้ำหอม สีสังเคราะห์ และสารพาราเบนด้วยนะคะ เพราะสารเหล่านี้อาจกระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองหรืออาการผื่นแพ้ได้
ส่วนใหญ่แล้วเจ้าแอลกอฮอล์ที่ทุกคนหมายถึงกันจะเป็นชนิด Ethanol ค่ะ แต่นั่นไม่ใช่ชนิดเดียวที่จัดว่าเป็นสารประเภทนี้ ยังมีอีกหลายตัวด้วยกัน เช่น Stearyl Alcohol, Lauryl Alcohol, Cetearyl Alcohol และ Behenyl Alcohol ดังนั้น แม้ว่าน้ำตบสูตรนั้น ๆ จะระบุว่าเป็น Alcohol-Free เราก็ควรเช็กส่วนผสมอีกรอบด้วยว่า ปราศจากแอลกอฮอล์ทุกชนิดจริงหรือไม่ โดยเฉพาะน้อง ๆ ที่มีสภาพผิวแห้งหรือแพ้ง่าย
อย่างไรก็ตาม แอลกอฮอล์ไม่ได้เป็นอันตรายกับผิวขนาดนั้นหรอกนะคะ น้อง ๆ ที่มีสภาพผิวธรรมดา, ผิวผสม หรือผิวมัน สามารถใช้ได้ โดยเฉพาะคนที่มีผิวมัน จะยิ่งทำให้รู้สึกสบายผิว ลดความเหนียวเหนอะหนะบนใบหน้าไปได้
แม้ว่าการล้างหน้าให้สะอาดอย่างอ่อนโยน และบำรุงด้วยน้ำตบสูตรทั่วไปแล้ว แต่สำหรับคนที่เป็นสิวง่ายอาจจะรู้สึกว่ายังดูแลไม่มากพอ จึงขอแนะนำให้น้อง ๆ ซื้อสูตรที่มีส่วนผสมของยารักษาสิวเลยค่ะ เช่น Salicylic Acid (หรือ BHA) หรือ Isopropylmethylphenol เพราะจะช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย P.Acne ต้นเหตุหนึ่งของการเกิดสิว และช่วยให้ผิวละเอียดขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตามถ้าใครมีสิวขึ้นแค่นิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้สูตรพวกนี้นะคะ เพราะเป็นปกติอยู่แล้วที่สิวจะขึ้นในช่วงวัยนี้ แต่ถ้าขึ้นเยอะมากจนเสียความมั่นใจ สามารถใช้ได้เลยค่ะ
ก่อนที่เราจะไปดูผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจกัน เราอยากให้น้อง ๆ ทำความรู้จักกับสภาพผิวที่เปลี่ยนไปของตัวเองกันเสียก่อนค่ะ เวลาดูแลผิวจะได้ดูแลได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ส่วนจะมีรายละเอียดอะไรบ้าง ตามอ่านได้จากด้านล่างนี้เลยค่ะ
เชื่อว่าปัญหาอันดับ 1 สำหรับน้อง ๆ ในวัยนี้ คือ “สิว” เพราะสมดุลฮอร์โมนของร่างกายเปลี่ยนไปเพื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติมาก ๆ เลยค่ะ พอถึงช่วงหนึ่ง สิวเหล่านี้ก็จะหายไป จึงไม่ต้องกังวลจนเครียดกันไปนะคะ ที่สำคัญ ควรหลีกเลี่ยงการแกะการบีบด้วย เพราะจะยิ่งทำให้หน้าเป็นรอยหรือเกิดหลุมสิว แล้วทีนี้ก็ต้องเสียเงินรักษากันแบบระยะยาวเลยล่ะค่ะ
ดังนั้น น้องจึงควรศึกษาวิธีการดูแลตัวเองขั้นพื้นฐานเอาไว้ด้วย เพื่อเป็นการดูแลผิวในระดับนึง เริ่มจาก “การล้างหน้า” ขอแนะนำให้ล้างหน้าแค่วันละ 2-3 ครั้งพอ ไม่ควรมากกว่านี้ เพราะถ้าล้างมากเกินไปจะทำให้ผิวหน้าเสียสมดุลความชุ่มชื้น ผิวหนังจะยิ่งผลิตน้ำมัน (Sebum) ออกมามากขึ้นอีก ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะอุดตันรูขุมขนจนเกิดสิวได้ ขณะเดียวกัน เกราะป้องกันผิวก็จะอ่อนแอลงด้วย ทำให้ผิวบอบบางแพ้ง่ายขึ้น
เมื่อล้างหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มบำรุงผิวด้วยสกินแคร์ที่มีคุณสมบัติบรรเทาอาการสิวหรือยับยั้งเชื้อสิว ซึ่งควรจะมีเนื้อที่บางเบา ซึมง่าย แต่ต้องให้ความชุ่มชื้นในปริมาณที่พอเหมาะด้วย เพราะ “ความชุ่มชื้น คือ พื้นฐานของการมีสุขภาพผิวที่ดี”
เกร็ดน่ารู้ : “ความเครียด” ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้สิวแย่ลง แม้จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงยากในวัยที่ต้องอ่านหนังสือแบบนี้ แต่จุดนี้ต้องระวังกันด้วยนะคะ
ไม่ว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่เราใช้จะอ่อนโยนแค่ไหน สุดท้ายแล้วน้ำมัน (Sebum) ที่ทำหน้าที่ให้ความชุ่มชื้นและเป็นเกราะป้องกันผิวของเราจะถูกชะล้างออกไป ดังนั้น เราจึงควรบำรุงด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อช่วยรักษาสมดุลดังกล่าว เพื่อให้ผิวมีสุขภาพดี คราวนี้ปัญหาสิวหรืออาการแพ้ง่ายต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นได้ยากแล้วค่ะ
เกร็ดน่ารู้ : สำหรับใครที่คิดว่าหลายขั้นตอนจังเลย ขอไม่บำรุงได้ไหม ต้องขอบอกเลยว่าให้อดทนนิดนึงนะคะ เพราะถ้าเมื่อไรที่เป็นสิว ยิ่งถ้ามีรอยหรือหลุมสิวด้วยแล้ว จะรักษายากและต้องใช้เวลานานด้วย ดังนั้น ควรรีบดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ นั่นเอง
มาถึงหัวข้อที่น้อง ๆ รอคอยกันแล้ว แต่ก่อนจะไปอ่านกัน ต้องขอย้ำนิดนึงว่า “เลือกสูตรที่เหมาะกับผิวเรานะคะ” เพราะบางครั้งสูตรที่ได้รับความนิยมสูงอาจไม่ถูกกับผิวหน้าของเราก็ได้ และอย่าลืมคำนึงเรื่องราคากันด้วย ถ้าพร้อมแล้วก็ไปอ่านกันเลยค่ะ!
เห็นราคาแล้วหลายคนคงสนใจ ซึ่งสูตรนี้เค้าไม่ได้มีดีแค่เรื่องราคา แต่ยังมีส่วนผสมของ 3 สารสกัดจากธรรมชาติ ได้แก่ ดอกกุหลาบ ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว กระตุ้นให้ผิวนุ่มฟู, เมือกหอยทาก ที่ช่วยฟื้นฟูผิวและเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบของผิวหนัง และว่านหางจระเข้ ที่ช่วยคืนความชุ่มชื้นและปลอบประโลมผิวที่ต้องโดนแดดบ่อย ๆ เหมือนน้อง ๆ วัยเรียน โดยจากเสียงรีวิวส่วนใหญ่บอกว่าใช้แล้วผิวละเอียดขึ้น หน้าเนียนนุ่มและดูสดใสขึ้นมาก ซึ่งเมื่อเทียบกับราคาแล้วถือว่าคุ้มค่าทีเดียวค่ะ
ชื่อภาษาญี่ปุ่นอาจจะจำยากไปสำหรับคนไทย หลายคนเลยตั้งชื่อเล่นให้น้ำตบยี่ห้อนี้ว่า “น้ำตบสาเก” เพราะสกัดมาจากสาเก อุดมไปด้วยกรดอะมิโนมากถึง 18 ชนิด ช่วยฟื้นฟูผิว ยกกระชับ และบำรุงให้กระจ่างใส เหมาะกับคนที่มีสภาพผิวธรรมดา-ผิวมัน ปราศจากสี และมิเนอรัล ออยล์ เนื้อผลิตภัณฑ์ใส ซึมซาบสู่ผิวได้ไว มีกลิ่นหอมสาเกอ่อน ๆ ใช้ได้ทั้งใบหน้าและร่างกายเลย หลายคนที่ลองใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่องสัมผัสได้ว่าผิวเนียนนุ่มขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น แถมขวดนี้ยังมาในปริมาณที่เยอะ เมื่อกับราคาแล้วถือว่าคุ้มค่ามาก ๆ เลยค่ะ
ใครผิวแห้งหรือขาดการดูแลต้องรีบซื้อสูตรนี้เลยค่ะ เพราะมีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid ทั้ง 5 ชนิด จึงมีพลังในการคืนความชุ่มชื้นมากเป็นพิเศษ ช่วยฟื้นฟูผิวแห้งเสียจากการขาดการดูแล ให้กลับมามีสุขภาพดี เนียนละเอียด รูขุมขนกระชับ และนุ่มนวลมากขึ้น หลายคนที่ใช้จริงต่างบอกว่าได้ผลลัพธ์จริง โดยตัวน้ำตบไม่แต่งสี ไม่ใส่น้ำหอม และไม่มีน้ำมัน จึงค่อนข้างอ่อนโยนต่อผิวมากทีเดียวค่ะ อย่างไรก็ตาม ตัวนี้ราคาอาจจะเกินงบไปสักนิด แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะเค้ามีไซซ์เล็กที่ราคาถูกกว่าให้ซื้อใช้กันด้วย
สูตรนี้แตกต่างจากอันดับก่อนหน้าตรงที่มีส่วนผสมของ Ceramide ค่ะ แต่มีส่วนผสมหลักจากสาเกเหมือนกัน เพียงแค่จะเน้นการให้ความชุ่มชื้นที่มากขึ้นอีกเป็นพิเศษ เหมาะกับผู้ที่มีสภาพผิวแห้ง-แพ้ง่าย ตัวนี้ก็ปราศจากสีและมิเนอรัล ออยล์เช่นกัน พร้อมค่า pH Balance ใกล้เคียงกับผิว จึงค่อนข้างอ่อนโยน ตัวน้ำตบจะมีสีขาวขุ่น ซึมซาบไว สามารถใช้ได้ทั้งใบหน้าและร่างกาย มีกลิ่นหอมสาเกอ่อน ๆ และแน่นอนว่า ขวดนี้มาในปริมาณที่เยอะ เมื่อกับราคาแล้วถือว่าคุ้มค่ามาก ๆ ตอบโจทย์น้อง ๆ ผิวแห้ง ผิวบอบบางได้นาน ๆ เลยค่ะ
น้ำตบจากแบรนด์ที่โด่งดังเรื่องสกินแคร์รักษาสิว มีส่วนผสมของวิตามินหลายชนิด ช่วยปรับสมดุลให้ผิวกลับมามีสุขภาพที่ดี และแน่นอนค่ะ จุดเด่นของตัวนี้ คือ ป้องกันการเกิดสิวใหม่และบรรเทาให้สิวที่มีอยู่ลดลง พร้อมช่วยควบคุมสมดุลความมัน และให้ความชุ่มชื้นที่เหมาะสมกับผิว ทั้งยังช่วยกระชับรูขุมขนได้ดี และทำให้ผิวแน่นขึ้น ดูอิ่มน้ำมากขึ้น ปราศจากสีสังเคราะห์, น้ำหอม และมิเนรอล ออยล์ ตัวน้ำตบมีสีใส ซึมไว ไม่เหนียวเหนอะหนะ จากรีวิวของคนส่วนใหญ่การันตีแล้วว่าใช้แล้วเห็นผลจริงในเรื่องสิว
น้ำตบที่ถูกล่ำลือกันว่าเป็นคู่แฝดกับอีกแบรนด์หนึ่งที่มีราคาสูงกว่ามาก มีจุดเด่นอยู่ที่มีส่วนผสมของ Galactomyces หรือพิเทร่าเข้มข้นถึง 96.5% สารสกัดที่ได้จากการหมักบ่มยีสต์ชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนชนิดต่าง ๆ ช่วยฟื้นฟูผิวและปรับสมดุล บำรุงให้เนียนละเอียด กระชับรูขุมขนให้เล็กลง และช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า คืนสุขภาพผิวที่ดีให้กับน้อง ๆ ที่ต้องโดนแดดหรือมลภาวะเยอะ ๆ ขณะเดียวกันบางคนที่ใช้จริงก็บอกว่าช่วยให้รอยดำ รอยแดงจากสิวจางเร็วขึ้นด้วย แต่แนะนำว่าให้ใช้อย่างต่อเนื่องนะคะ ถึงจะเห็นผลชัดเจน
อีกหนึ่งตัวจาก Hada Labo ที่ได้รับการรีวิวจากหลายเว็บไซต์อย่างล้นหลาม เป็นสูตรสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวธรรมดา บำรุงผิวด้วย Hyaluronic Acid 4 ชนิดที่มีขนาดต่างกัน ช่วยคืนความชุ่มชื้นและช่วยรักษาระดับน้ำใต้ผิวไว้ให้ยาวนาน พร้อมด้วยเทคโนโลยี HPP&M ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงให้ลึกขึ้น โดยปราศจากน้ำมันแร่ น้ำหอมและสี เนื่องจากตัวน้ำตบมีอนุภาคเล็ก จึงซึมสู่ผิวไว ไม่เหนอะหนะ หลังจากใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่องสัมผัสได้ว่าผิวมีสุขภาพดีขึ้นจริง ๆ (สำหรับใครที่กลัวว่าจะให้ความชุ่มชื้นมากเกินไป แบรนด์มีสูตร Light สำหรับผิวมันหรือผิวผสมด้วยนะคะ)
หลายคนเรียกสั้น ๆ ว่า “น้ำตบลูกเดือย” เนื่องจากมีส่วนผสมหลักจากลูกเดือย ที่อุดมไปด้วยวิตามินบี, โปรตีน และกรดอะมิโน เพื่อช่วยฟื้นฟูผิว เติมเต็มความชุ่มชื้น พร้อมบำรุงให้เนียนนุ่มและแลดูอิ่มน้ำมากขึ้น สามารถใช้งานได้หลายอย่างทั้งเป็นสเปรย์ฉีดหน้าหรือเทใส่สำลีแผ่นและมาส์กทิ้งไว้บนใบหน้าก็ยังได้ ตัวเนื้อมีสีออกขาวขุ่น ทาแล้วซึมซาบไวและไม่เหนียวเหนอะหนะ และต้องแอบบอกเลยว่า แบรนด์ดัง ๆ ตามเคาน์เตอร์หลายแบรนด์ก็ใช้ส่วนผสมธรรมชาติอย่างลูกเดือยในการผลิตเอสเซนส์ด้วย ฉะนั้น เมื่อเทียบกับราคาแล้วถือว่าตัวนี้คุ้มมากทีเดียว
มาที่น้ำตบจาก Garnier ที่จะช่วยตอบโจทย์น้อง ๆ วัยนี้ได้ดี เพราะมาด้วยสูตรลดสิว โดยมีส่วนผสมหลักจากดอกวิซ ฮาเซล และ Zinc บริสุทธิ์ ช่วยควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน จัดการปัญหาสิว ลดรอยแดง (ทั้งจากสิวและผิวแห้งระคายเคือง) ที่สำคัญ เป็นสูตรไฮโปแอลเลอร์เจนิก เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือมีแนวโน้มเป็นสิว ได้รับการทดสอบ Non-Comedogenic Test แล้วว่าไม่อุดตัน ตัวน้ำตบไม่มีสี (สีใส) เนื้อบางเบา ทาแล้วซึมซาบไว ไม่เหนอะหนะ หลังใช้สักระยะนึงจะสัมผัสได้ว่าสิวและรอยแดงลดลงได้ดีทีเดียว แถมยังมาในราคาเป็นมิตรมาก ๆ เป็นอีกหนึ่งในตัวเลือกสำหรับน้อง ๆ ผิวมันเลยค่ะ
มาถึงอันดับ 1 จาก Hada Labo เช่นกัน ที่ดูแล้วตอบโจทย์น้อง ๆ วัยนี้มาก เพราะเค้ามาด้วยสูตรที่ลดสาเหตุการเกิดสิวโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับคนผิวมันหรือผู้ที่มีปัญหาสิวมาก เพราะมีส่วนผสมของสารสกัดฮาโตมูกิ, โฮตูเนีย คอดาต้า และดอกคาโมมายล์ ที่อุดมไปด้วย Glycyrrhizic Acid ช่วยลดการอักเสบของผิวและลดรอยแดงจากสิวให้ดีขึ้น ที่ขาดไม่ได้เลยคือ ส่วนผสมของ Hyaluronic Acid ที่จะช่วยบำรุงฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงขึ้นจากมลภาวะต่าง ๆ ที่ต้องเจอในชีวิตประจำวัน ฟังดูแล้วเหมาะกับวัยนี้เป็นอย่างดี ทั้งยังปราศจากน้ำหอม, สีสังเคราะห์ และมิเนรอล ออยล์ด้วย ผู้ที่ใช้จริงรีวิวว่าสิวยุบ รอยดำจางลง และผิวหน้าแข็งแรงขึ้นด้วยค่ะ
เชื่อว่ามีน้อง ๆ หลายคนที่ไม่เคยใช้น้ำตบมาก่อน วันนี้เราเลยมีข้อแนะนำและข้อควรระวังมาให้อ่านกันด้วยค่ะ เพื่อที่ทุกคนจะได้บำรุงผิวอย่างถูกต้องและปลอดภัย
อันดับแรกที่ควรรู้ คือ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ควรลงน้ำตบคือหลังล้างหน้าทันทีค่ะ เพราะผิวจะซึมซับความชุ่มชื้นได้ดีในช่วงเวลาดังกล่าว แม้ว่าจะมีละอองน้ำเกาะอยู่ก็ตาม เนื่องจากน้ำสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ง่าย จึงไม่ขัดขวางการทำงานของน้ำตบ
ลำดับต่อมา คือ เรื่องของปริมาณที่ควรใช้ใน 1 ครั้ง ปกติแล้วควรใช้น้ำตบปริมาณเท่ากับเหรียญ 10 บาทก็เพียงพอแล้วค่ะ โดยลูบไล้ให้ทั่วหน้าอย่างเบามือแล้ววางมือตามบริเวณต่าง ๆ ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 วินาที เพื่อให้ความร้อนของมือกระตุ้นให้ตัวน้ำตบซึมซาบสู่ผิวได้ง่ายขึ้น
สำหรับใครที่ต้องการทาโลชั่นหรือสกินแคร์เนื้อน้ำนมต่อ แนะนำให้ทาหลังจากที่น้ำตบซึมซาบสู่ผิวเรียบร้อยแล้วนะคะ อย่างไรก็ตาม ในตอนเช้า ๆ บางคนอาจไม่มีเวลามากพอ แนะนำให้เลือกซื้อน้ำตบที่รวมคุณสมบัติของหลายสกินแคร์เข้าไว้ด้วยกันเพื่อลดขั้นตอนการบำรุงนะคะ
นอกจากการลงน้ำตบแล้ว การล้างหน้าอย่างถูกวิธีก็เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของน้ำตบทางอ้อมค่ะ โดยก่อนล้างหน้าเราควรล้างมือให้สะอาดเสียก่อน และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน หากใครใช่สบู่ก่อนแนะนำให้ซื้อตะข่ายตีฟองมาถู เพื่อให้เกิดฟองโฟมเนื้อนุ่ม หรือถ้าใครใช้โฟม แนะนำให้ซื้อสูตร Whip Foam เพราะเนื้อฟองโฟมจะเนียนนุ่ม ละมุนไปกับผิว ทำให้ผิวถูกรบกวนน้อย
อีกข้อที่ควรระวัง คือ การตบหน้าตอนลงน้ำตบ เพราะแม้ว่าจะช่วยให้น้ำตบซึมซาบเร็วขึ้นและทำให้รูขุมขนกระชับ แต่ถ้าใช้แรงมากเกินไปอาจทำให้ผิวช้ำจนเกินปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้นั่นเองค่ะ
สำหรับใครที่ใช้โทนเนอร์ก่อนลงน้ำตบ หากเกิดอาการแดงหรือคัน ให้ลดแรงตอนใช้สำลีเช็ดหน้านะคะ และล้างมือให้สะอาดก่อนลงน้ำตบ เพื่อรักษาความสะอาด
มาถึงบทส่งท้ายของเรา เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย ตอนนี้ได้น้ำตบที่เหมาะกับตัวเองกันรึยังคะน้อง ๆสุดท้ายนี้อย่าลืมคำนึงถึงราคาและส่วนผสมต่าง ๆ ด้วยนะคะ ควรหลีกเลี่ยงสูตร Whitening และถ้าใครผิวแห้งหรือแพ้ง่ายก็ไม่ควรใช้สูตรที่มีแอลกอฮอล์ ไม่อย่างนั้นสุขภาพผิวจะยิ่งแย่ลงได้
ก่อนจะจากกัน อยากจะเตือนน้อง ๆ นิดนึงว่า ควรเลือกซื้อสินค้าจากแบรนด์และร้านที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อความปลอดภัยนะคะ ถ้าอยากรู้ว่าสินค้านั้น ๆ มี อย. จริงหรือเปล่าก็ไม่ยากเลย เพียงแค่นำเลขใบจดแจ้งที่อยู่บนผลิตภัณฑ์ไปค้นหาในเว็บนี้ได้เลยค่ะ https://oryor.com/oryor2015/check_product.php