“แยมส้ม” หนึ่งในรสชาติของแยมที่หลายคนเลือกทานคู่กับขนมปัง เพราะมีรสชาติที่กลมกล่อม ทั้งหวานและเปรี้ยว บางยี่ห้อก็ออกจะขมนิด ๆ เพราะใส่เปลือกส้มหรือผิวส้มลงไปเพื่อเพิ่มรสสัมผัสในการทาน ซึ่งในปัจจุบันมีแยมหลายยี่ห้อให้เลือกซื้อ ซึ่งดูเผิน ๆ ก็คงจะไม่แตกต่างกันเท่าไร แต่จริง ๆ แล้วแต่ละยี่ห้อเขาก็มีสูตรที่แตกต่างกัน บางยี่ห้อเลือกใช้ส้มสายพันธุ์นี้ ในขณะที่อีกยี่ห้อหนึ่งอาจจะใช้สายพันธุ์ที่ต่างออกไป ทำให้การทราบถึง “วิธีการเลือกซื้อ” จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้คุณได้ในสิ่งที่ตรงตามความต้องการมากที่สุด
อีกหนึ่งหัวข้อที่สำคัญสำหรับคนเลือกซื้อแยมคือ “เรื่องรสชาติ” ใช่ไหมคะ วันนี้ผู้เขียนเลยรวบรวมรีวิวและจัดอันดับ “10 อันดับ แยมส้มยอดฮิตขายดี” มาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน ส่วนแต่ละหัวข้อจะมีเนื้อหาเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลยค่ะ
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับประเภทของแยมกันก่อนเลย เพื่อน ๆ จะได้เลือกซื้อได้ตรงตามความต้องการให้มากที่สุดค่ะ
หลายคนอาจจะสงสัยว่า “แยมมีหลายประเภทด้วยหรอ” จริง ๆ แล้วแยมมี 2 ประเภทด้วยกันค่ะ นั่นคือแยมธรรมดากับแยมแบบมาร์มาเลด ซึ่งทั้งสองอย่างมีส่วนผสมที่แตกต่างกันเล็กน้อย โดยแยมแบบมาร์มาเลดจะมีส่วนผสมของเปลือกผลไม้ เนื้อผลไม้ชิ้นเล็ก ๆ ลงไป ให้รสชาติของผลไม้ที่ดีกว่า ในขณะที่แยมสูตรธรรมดาจะเน้นใช้เนื้อละเอียดหรือน้ำผลไม้มากกว่า จึงส่งผลต่อรสชาติและคุณประโยชน์
แยมส้มแบบมาร์มาเลดจะอุดมไปด้วยวิตามินพี ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำให้ร่างกายอบอุ่น ในขณะที่สูตรธรรมดาจะมีวิตามินซีสูง เนื่องจากทำมาจากเนื้อส้ม อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วบริเวณเปลือกส้มจะมีรสขมเล็กน้อย ทำให้ทานยาก แบรนด์ส่วนใหญ่จึงปรับสูตรด้วยการผสมเนื้อส้มเข้าไปด้วย คุณค่าทางโภชนาการจึงสูงขึ้น เพราะมีทั้งวิตามินซีและวิตามินพี
คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเพื่อน ๆ ชอบทานแบบไหนมากกว่ากันแล้วค่ะ ตอนนี้เพื่อน ๆ คงรู้แล้วว่าแยมส้มมี 2 สูตร ซึ่งทั้ง 2 สูตรนี้มีสิ่งที่ต้องคำนึงคล้าย ๆ กัน ผู้เขียนเลยขออนุญาตรวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพื่อไม่ให้บทความยืดเยื้อ ส่วนจะมีอะไรบ้างที่ต้องคำนึง เราไปอ่านกันเลยค่ะ
แน่นอนว่าเวลาเลือกซื้ออาหารการกินสิ่งแรกที่ทุกคนคำนึงคือ “รสชาติ” ซึ่งถ้าใครเลือกซื้อแยมสูตรธรรมดา หัวข้อนี้อาจไม่ใช่ปัญหาเท่าไรนัก เพราะส่วนใหญ่แล้วแยมส้มจะมีรสที่ค่อนข้างหวานอมเปรี้ยว กลมกล่อมดีอยู่แล้ว แต่สำหรับใครที่เลือกซื้อสูตรมาร์มาเลดอาจจะใส่ใจกับระดับความขมของแยมนิดนึง เนื่องจากผสมเปลือกหรือผิวส้มมาด้วย
โดยทั่วไปแล้ว แต่ละแบรนด์จะมีระดับความขมที่ไม่เท่ากันค่ะ ขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของเนื้อส้มกับผิวส้ม ดังนั้นถ้าใครอยากได้รสขมเล็กน้อย แนะนำให้ซื้อสูตรที่ผสมผิวส้มมาแค่นิดเดียวเท่านั้นเมื่อเทียบกับเนื้อส้ม ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณชอบให้มีรสสัมผัสและชอบรสชาติอมขมนิด ๆ ก็ให้เลือกสูตรที่มีปริมาณผิวส้มเยอะขึ้นมาหน่อย
เกร็ดน่ารู้ : บางแบรนด์ก็พัฒนาสูตรแยมส้มของตัวเองให้โดดเด่นกว่าแบรนด์อื่น ๆ ด้วยการผสมวิสกี้
เมื่อพูดถึงแยมแบบมาร์มาเลด หลายคนมักจะคิดว่าต้องทำมาจากส้มเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วสามารถใช้ผลไม้อื่น ๆ ในตระกูลซิตรัสแทนก็ได้ เช่น เลมอน, ส้มโอ, เกรปฟรุต, มะนาว เป็นต้น ดังนั้นใครที่ไม่ชอบทานรสหวานมาก ๆ หรืออยากลิ้มรสอะไรใหม่ ๆ แนะนำให้ซื้อสูตรที่มีส่วนผสมของผลไม้อื่น ๆ ในตะกูลซิตรัสไปลองทานกันดู คุณอาจจะติดใจรสชาติใหม่ ๆ ก็ได้นะคะ
ส่วนใหญ่เวลาเลือกซื้อของ เรามักจะสนใจแค่ปริมาณกับราคาอย่างเดียว เพราะหมายถึงความคุ้มค่า แต่อย่าลืมนะคะ ถ้าคุณทานไม่ทัน สุดท้ายหมดอายุเสียก่อน คราวนี้เงินก็เสียเปล่าเหมือนกัน ฟังดูแล้วแย่ยิ่งกว่าการซื้อของราคาแพงแต่ใช้หมดเสียอีก
ปกติแล้วแยมจะมีอายุประมาณ 3 เดือนหลังจากที่เปิดใช้ ดังนั้นก่อนจะซื้อแนะนำให้คำนวนปริมาณที่จะใช้ใน 1 ครั้ง เมื่อเทียบกับอายุของแยมด้วยนะคะ เพื่อความคุ้มค่าของเงินที่เสียไป ถ้าคุณซื้อมาแค่ทาขนมปังตอนเช้าอย่างเดียว และทานกันแค่ไม่กี่คน แนะนำว่าซื้อแค่กระปุกเล็ก ๆ ก็พอ แต่ถ้าซื้อมาเพื่อทำขนมหวานหรือใช้ประกอบอาหารคาวบ่อย ๆ อันนี้อาจจะต้องซื้อไซซ์ใหญ่นิดนึง
หลังจากเรียนรู้วิธีการเลือกไปแล้ว คราวนี้เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าในท้องตลาดมีแยมส้มยี่ห้อไหนบ้างที่ได้รับความนิยม และแต่ละยี่ห้อมีข้อแตกต่างกันอย่างไร ถ้าพร้อมแล้ว ไปอ่านกันเลยค่ะ
แยมส้มที่คัดสรรวัตถุดิบมาอย่างดี เลือกเฉพาะสายพันธุ์ Seville จากประเทศสเปน ทำให้มีรสชาติออกหวาน ไม่ติดเปรี้ยวจนเกินไป นอกจากนี้ยังไม่ใช้พืช GMO จึงปลอดภัยต่อสุขภาพ แม้ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ก็สามารถทานได้ โดยใช้กระบวนการผลิตที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน ก่อนจะถูกบรรจุมาในโหลแก้วฝาเกรียวที่ถูกออกแบบมาพิเศษให้ช่วยเก็บรักษาแยมจากอากาศได้เป็นอย่างดี แต่ข้อเสียอยู่ที่ราคาค่อนข้างสูงนิดนึงเมื่อเทียบกับปริมาณและสูตรอื่น ๆ แต่ถ้าคุณคำนวณดูปริมาณแล้ว เหมาะกับไลฟ์สไตล์การทานของคุณมากกว่า ก็ลองซื้อไปลองทานกันดูนะคะ
ที่ IKEA ไม่ได้มีแต่เฟอร์นิเจอร์หรืออุปกรณ์ตกแต่งบ้านอย่างเดียวนะจ๊ะ อาหารเขาก็มีเหมือนกัน โดยสูตรนี้โดดเด่นด้วยส่วนผสมของดอก Elderflower ทำให้แยมมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ และชูรสชาติมากขึ้น ช่วยเพิ่มความน่ารับประทาน ทานแล้วรู้สึกสดชื่น แถมวัตถุดิบทั้งหมดยังเป็นแบบ Organic ปลอดสารพิษตั้งแต่กระบวนการปลูกตลอดจนส่งมอบมาถึงมือคุณ ใครที่เป็นสายรักสุขภาพและรักษ์โลกน่าจะชื่นชอบ ส่วนเรื่องรสชาตินั้นกลมกล่อมจนหลายคนติดอกติดใจต้องซื้อติดบ้านไว้ตลอดเลยค่ะ
แยมผลไม้นำเข้าจากอิตาลี อัดแน่นไปด้วยเนื้อส้มเต็ม ๆ ถึง 30% สัมผัสได้ถึงเนื้อผลไม้ พร้อมผ่านการปรุงรสด้วยน้ำตาล ทำให้รสชาติกลมกล่อม ไม่หวานหรือเปรี้ยวจนเกินไป ก่อนจะถูกบรรจุลงในโหลแก้วฝาปิดมิดชิด ช่วยเก็บรักษาคุณภาพของแยมไว้ให้นานที่สุด อย่างไรก็ตามแนะนำว่าหลังจากเปิดทานแล้ว ควรเก็บไว้ในตู้เย็นหรือหลีกเลี่ยงจากแสงแดด ส่วนเรื่องรสชาตินั้นหลายคนที่ซื้อไปการันตีว่ารสชาติดี ซึ่งเมื่อเทียบกับราคาแล้วถือว่าน่าลองเลยค่ะ
อีกหนึ่งแบรนด์ที่มีแยมหลายรสให้เลือกซื้อ ลำพังแค่แยมส้มอย่างเดียวก็มีหลายสูตรแล้วค่ะ ทั้งแบบใส่น้ำตาลและไม่ใส่ แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือสูตรนี้ (ใส่น้ำตาลนะคะ) โดยแบรนด์จะเลือกใช้ Fructose Corn Syrup เพื่อให้ความหวาน แต่งด้วยรสส้มในอัตราส่วนที่เข้ากัน ทำให้ได้รสชาติที่หวานอมเปรี้ยวกำลังดี ทานแล้วไม่เลี่ยน และจากรีวิวของหลายคนที่ซื้อไปต่างบอกว่ารสไม่ขมเลย แต่ถ้าใครไม่ค่อยชอบทานหวาน แนะนำให้ซื้อสูตร Natural Orange Marmalade แทนนะคะ เพราะไม่ค่อยหวานและไม่ใส่สารเติมแต่งเท่าสูตรนี้
ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มีแยมหลายรสและหลายขนาดให้เราเลือกซื้อ ไม่ว่าจะแบบกล่องจิ๋วไว้สำหรับพกพาเอามาทาขนมปังที่ออฟฟิศ หรือจะแบบกระปุกก็มีให้เลือกตั้ง 2 ขนาด ส่วนเรื่องของรสชาตินั้นยี่ห้อนี้จะค่อนข้างหวานนิดนึงนะคะ เพราะใส่น้ำตาล 58% ใครที่กำลังควบคุมน้ำหนักอยู่อาจจะต้องระวังปริมาณในการทานต่อครั้งและความถี่ในการทานนิดนึง นอกจากนี้ยังไม่เหมาะกับสาย Healthy ที่ชอบอาหารคลีน ๆ เนื่องจากมีการแต่งสีและกลิ่น
แยมส้มตำรับฝรั่งเศส ผสมผลไม้ตระกูลซิตรัส ไม่ว่าจะเป็นองุ่น, พลัม และน้ำมะนาว ทำให้รสชาติอมเปรี้ยวอมหวาน ไม่เลี่ยนจนเกินไป หลายคนที่ซื้อไปต่างคอนเฟิร์มว่าอร่อย กลับมารีวิวให้คะแนนเต็ม 5 ดาวกันเยอะเลยค่ะ นอกจากนี้ยังปราศจากน้ำตาล, วัตถุกันเสีย, สีและกลิ่นสังเคราะห์ เรียกได้ว่าค่อนข้างเป็นธรรมชาติ ใครที่ใส่ใจสุขภาพมากเป็นพิเศษแนะนำเลยค่ะ อย่างไรก็ตามอย่าลืมคำนึงด้วยนะคะว่าจะทานหมดทันไหม เพราะยี่ห้อนี้ไม่ใส่สารกันบูด หากเก็บรักษาไม่ดีมีโอกาสเสื่อมตามสภาพง่ายกว่าสูตรที่ใส่
แค่เห็นแพ็กเกจก็น่าสนใจแล้วใช่ไหมคะ ด้วยรูปทรงแบบเหยือกทำให้หยิบจับได้ถนัด โดยมีหลายขนาดและแพ็กเกจให้เลือกซื้อ ทั้งแบบที่มีฝาปิดเก็บรักษาไว้ได้นาน หรือแบบใช้แล้วทิ้ง ซึ่งยี่ห้อนี้มีรสชาติที่หวานกลมกล่อม แถมยังมีกลิ่นหอมของส้ม ช่วยเพิ่มอรรถรสในการทาน ใครที่กำลังมองหาแยมส้มราคาสบายกระเป๋า แนะนำให้ลองซื้อไปทานกันดูเลยค่ะ อย่างไรก็ตามยี่ห้อนี้จะไม่เหมาะกับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักนะคะ เพราะใส่น้ำตาล 42%
ใครอยากได้แยมส้มที่มีสัมผัสของผลไม้เต็ม ๆ แนะนำให้ซื้อยี่ห้อนี้เลยค่ะ เพราะมีส่วนผสมของผลไม้มากถึง 60% ผสมกับน้ำตาลทรายทองที่ไม่ผ่านการฟอกสีในปริมาณน้อยกว่าสูตรปกติ ทำให้มีรสชาติหวานน้อย ปราศจากการเจือสีสังเคราะห์, แต่งกลิ่น และวัตถุกันเสีย ปรุงรสและกำหนดอัตราส่วนตามตำรับอังกฤษ โดยเนื้อสัมผัสของแยมจะไม่เหลว รสหวานกำลังดี แยมแบรนด์นี้ยังเคยได้รับรางวัลการันตีความอร่อยจากสถาบัน iTQi จากประเทศเบลเยี่ยมอีกด้วย
แยมส้มอีกยี่ห้อที่น่าสนใจมาก เพราะทำมาจากส้มยูซุ ซึ่งมีเอกลักษณ์อยู่ที่กลิ่นหอมและมีสารอาหารมากกว่าส้มทั่วไป มาพร้อมรสชาติเปรี้ยวอมหวาน ออกขมนิด ๆ ผสมด้วยน้ำผึ้งแท้จากสวนผลไม้เกาหลี ช่วยเพิ่มรสชาติและกลิ่นให้สดชื่นขึ้น สูตรต้นตำรับและผลิตที่เกาหลี ปัจจุบันมีหลายขนาดให้เลือกซื้อ อย่างไรก็ตามส้มยูซุจะมีรสขมมากกว่าส้มทั่วไปนะคะ ถ้าใครไม่ชอบทานขม ๆ แนะนำให้ซื้อยี่ห้ออื่นแทนจะดีกว่า แต่ถ้าคุณชอบผสมแยมในชาหรือกาแฟล่ะก็ บอกเลยว่ายี่ห้อนี้ไม่ทำให้ผิดหวังจริง ๆ ค่ะ
มาถึงอันดับที่ 1 ของเรา ถ้าพูดถึงเรื่องแยม ยี่ห้อแรก ๆ ที่หลายคนจะนึกถึงคือ Best Foods เลยค่ะ โดยสูตรนี้มีความพิเศษตรงที่คัดสรรส้มคุณภาพดีจากแคลิฟอร์เนีย ผ่านกระบวนการผลิตที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน ปราศจาก Monosodium Glutamate (MSG) และสีสังเคราะห์ รสชาติเปรี้ยวอมหวาน เปลือกส้มถูกซอยเล็ก ๆ ให้ทานง่าย หอมกลิ่นส้มอ่อน ๆ ปัจจุบันมีหลายขนาดให้เลือกซื้อ ไม่ว่าจะแบบใช้แล้วทิ้งหรือแบบกระปุกให้เก็บรักษาได้ แถมยังมีราคาถูกอีกด้วยค่ะ
นอกจากไว้ทาขนมปังแล้ว แยมส้มยังทำอะไรได้มากกว่าที่คุณคิดค่ะ วันนี้เราเลยรวบรวมเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้อ่านกัน เผื่อเพื่อน ๆ จะนำไปปรับเข้ากับสูตรอาหารของตัวเอง
แยมส้มไม่ได้ใช้ทาขนมปังอย่างเดียวนะจ๊ะ สามารถปรุงอาหารได้ด้วยเหมือนกัน เช่น หมักเนื้อสัตว์ เช่น ไก่, เนื้อซี่โครง หรือหมู เพราะกรดผลไม้จะช่วยให้เนื้อนุ่มขึ้น และรสของแยมจะช่วยให้เนื้อมีรสชาติดีขึ้น นอกจากนี้แยมส้มยังสามารถเพิ่มรสชาติให้กับคุกกี้, เค้ก หรือขนมหวานอื่น ๆ เหมือนกับช็อกโกแลตหรือวานิลลาได้อีกด้วยนะคะ
ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยคะว่าแยมส้มจะสามารถทำอย่างนี้ได้ด้วย โดยสามารถผสมได้ทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็น แต่จะมีอัตราส่วนที่แตกต่างกันเล็กน้อย ถ้าอยากทานร้อนให้ผสมแยมส้ม 3 ช้อนโต๊ะ : น้ำร้อน 2 ถ้วย ส่วนใครอยากดื่มแบบเย็นให้ผสมแยมส้ม 4 ช้อนโต๊ะ : น้ำเย็นปริมาณ 400 มล. จากนั้นคนให้เข้ากัน แค่นี้คุณก็จะได้เครื่องดื่มที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าให้คุณแล้วค่ะ
นอกจากน้ำเปล่าธรรมดาแล้ว แยมส้มยังเข้ากันได้ดีกับชาและกาแฟด้วยค่ะ เพราะช่วยเพิ่มรสชาติให้หวานและเปรี้ยวขึ้นนิด ๆ นอกจากนี้ยังมีกลิ่นที่ผ่อนคลาย ซึ่งมีมิติมากกว่าแค่การใส่น้ำตาล โดยถ้าคุณอยากผสมกับกาแฟดำ แนะนำให้ตักแยมส้มใส่ 1-2 ช้อนโต๊ะ ขึ้นอยู่กับความชอบ ส่วนใครที่อยากผสมกับชา แนะนำให้ผสมกับชาดำหรือชาดาร์จีลิ่ง ในอัตราส่วน 1-2 ช้อนโต๊ะต่อถ้วย จะช่วยให้รสชาติมีมิติมากขึ้น โดยจะแตกต่างจากชามะนาวนะคะ
เกร็ดน่ารู้ : ปริมาณของแยมขึ้นอยู่กับความชอบของคุณนะคะ ถ้ารู้สึกหวานไปหรือน้อยไป ให้เพิ่มหรือลดตามความต้องการได้
บอกเลยว่าเขียนจบแล้วผู้เขียนอยากจะเดินไปซื้อขนมปังอุ่น ๆ แล้วปาดกับแยมส้มฉ่ำ ๆ ราดด้วยน้ำผึ้งเพื่อเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอม ยิ่งทานคู่กับชาผสมแยมส้มอุ่น ๆ ล่ะก็ บอกเลยว่าดีมาก ๆ ว่าแล้วเราก็ไปหาซื้อแยมกันดีกว่าค่ะ ตอนนี้เพื่อน ๆ มียี่ห้อที่เลือกไว้แล้วหรือยัง ของผู้เขียนนี่มีเล็ง ๆ ไว้แล้วค่ะ ถึงราคาจะแพงไปนิด แต่ดูน่าทานมากจริง ๆ
ครั้งหน้าเราจะมีอะไรมาแนะนำกันอีก ต้องรอติดตาม สำหรับวันนี้คงต้องลากันไปก่อน ส่วนใครที่เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ อย่าลืมแชร์ให้เพื่อน ๆ อ่านกันต่อ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้เขียนนะคะ